Learning Log (ในห้องเรียน) ครั้งที่ 3
Tense
ในปัจจุบันนี้
ภาษาอังกฤษได้เข้ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยพัฒนาประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
โดยจะนำความก้าวหน้าของความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ดังนั้นจะต้องการเตรียมความพร้อมของคนในประเทศเพื่อให้มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถติดต่อสื่อสาร แสวงหาความรู้และสร้างความสัมพันธ์กัน เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้โลกแคบลง เกิดการติดต่อสื่อสารอย่างไร้พรมแดน คนจึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขีด ความสามารถในการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ภาษาอังกฤษจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก เนื่องจากเป็นภาษาที่คนทุกชาติ ทุกภาษายอมรับให้เป็นภาษาสากล ที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลก ซึ่งในการเรียนรู้จากทักษะทั้ง4ทักษะ ได้แก่ ทักษะการพูด การอ่าน การฟัง การเขียนภาษาอังกฤษ ซึ่งทั้ง 4 ทักษะ เป็นทักษะทางภาษาที่มีความสำคัญและมีความหมายในการเรียนทุกๆระดับ นอกจากการเรียนรู้ทักษะทางภาษาแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญพื้นฐานของการเรียนภาษาอังกฤษ นั่นคือ tense เพราะ tense เป็นไวยากรณ์พื้นฐานของภาษาอังกฤษ โดยไวยากรณ์เปรียบเหมือนกฎจราจรสัญลักษณ์ต่างๆจะช่วยบอกว่าสิ่งที่ผู้เรียนเรียนอยู่นั้นอยู่บนถนนที่ถูกเส้นทาง การที่ผู้เรียนเข้าใจถึงสัญลักษณ์และกฎต่าง ๆ จะทำให้ผู้เรียนสามารถเห็นความก้าวหน้าทางภาษาของตนเอง พร้อมกับเลี่ยงการฝึกที่ผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความสามารถทางภาษาของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อย ซึ่งการเรียนการสอนเรื่อง tense มีความสำคัญมากกับสังคมในยุคนี้ เพราะหากเราสามารถรู้และเข้าใจถึงโครงสร้างของ tense ต่างๆและรู้ความหมายในประโยคนั้นๆ ก็จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว แต่การเรียนการสอนเรื่อง tenseในประเทศไทยก็ยังมีปัญหาอยู่มาก หลายคนที่ได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาหลายปี แต่ไม่เข้าใจและไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันได้ ที่ยังไม่เข้าใจอาจเป็นเพราะยังสับสน เนื่องจากการบอกเวลาในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ภาษาไทยจะไม่มีการผันกริยา แต่จะมีคำและวลีมาเป็นตัวขยายเพื่อบ่งบอกเวลา เช่น ฉันกินข้าวแล้ว(เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นลงแล้วในอดีต) เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษจะมีการผันกริยา เพื่อบ่งบอกเวลา ว่าเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยในความแตกต่างนี้ทำให้คนไทยยังสับสนและไม่เข้าใจเรื่อง tense อย่างดีนัก ซึ่งปัญหานี้ส่งผลให้การเรียนรู้และทำให้เราสื่อสารกับชาวต่างชาติไม่ค่อยดีเท่าที่ควร จากความสำคัญนี้ เราทุกคนจึงต้องตระหนักในการเรียนรู้และทำเข้าใจในในเรื่อง tense และเราต้องรู้หลักการใช้ในแต่ละ tense เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง
ดังนั้นจะต้องการเตรียมความพร้อมของคนในประเทศเพื่อให้มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถติดต่อสื่อสาร แสวงหาความรู้และสร้างความสัมพันธ์กัน เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้โลกแคบลง เกิดการติดต่อสื่อสารอย่างไร้พรมแดน คนจึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขีด ความสามารถในการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ภาษาอังกฤษจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก เนื่องจากเป็นภาษาที่คนทุกชาติ ทุกภาษายอมรับให้เป็นภาษาสากล ที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลก ซึ่งในการเรียนรู้จากทักษะทั้ง4ทักษะ ได้แก่ ทักษะการพูด การอ่าน การฟัง การเขียนภาษาอังกฤษ ซึ่งทั้ง 4 ทักษะ เป็นทักษะทางภาษาที่มีความสำคัญและมีความหมายในการเรียนทุกๆระดับ นอกจากการเรียนรู้ทักษะทางภาษาแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญพื้นฐานของการเรียนภาษาอังกฤษ นั่นคือ tense เพราะ tense เป็นไวยากรณ์พื้นฐานของภาษาอังกฤษ โดยไวยากรณ์เปรียบเหมือนกฎจราจรสัญลักษณ์ต่างๆจะช่วยบอกว่าสิ่งที่ผู้เรียนเรียนอยู่นั้นอยู่บนถนนที่ถูกเส้นทาง การที่ผู้เรียนเข้าใจถึงสัญลักษณ์และกฎต่าง ๆ จะทำให้ผู้เรียนสามารถเห็นความก้าวหน้าทางภาษาของตนเอง พร้อมกับเลี่ยงการฝึกที่ผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความสามารถทางภาษาของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อย ซึ่งการเรียนการสอนเรื่อง tense มีความสำคัญมากกับสังคมในยุคนี้ เพราะหากเราสามารถรู้และเข้าใจถึงโครงสร้างของ tense ต่างๆและรู้ความหมายในประโยคนั้นๆ ก็จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว แต่การเรียนการสอนเรื่อง tenseในประเทศไทยก็ยังมีปัญหาอยู่มาก หลายคนที่ได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาหลายปี แต่ไม่เข้าใจและไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันได้ ที่ยังไม่เข้าใจอาจเป็นเพราะยังสับสน เนื่องจากการบอกเวลาในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ภาษาไทยจะไม่มีการผันกริยา แต่จะมีคำและวลีมาเป็นตัวขยายเพื่อบ่งบอกเวลา เช่น ฉันกินข้าวแล้ว(เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นลงแล้วในอดีต) เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษจะมีการผันกริยา เพื่อบ่งบอกเวลา ว่าเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยในความแตกต่างนี้ทำให้คนไทยยังสับสนและไม่เข้าใจเรื่อง tense อย่างดีนัก ซึ่งปัญหานี้ส่งผลให้การเรียนรู้และทำให้เราสื่อสารกับชาวต่างชาติไม่ค่อยดีเท่าที่ควร จากความสำคัญนี้ เราทุกคนจึงต้องตระหนักในการเรียนรู้และทำเข้าใจในในเรื่อง tense และเราต้องรู้หลักการใช้ในแต่ละ tense เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง
ถ้าจัดลำดับความยากของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
“Tense” เป็นเป็นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ยากในอันดับต้นๆ เพราะในการเรียนเรื่อง tense
นั่น
เราต้องรู้โครงสร้างว่าประกอบด้วยอะไรบ้างและต้องรู้ความหมาย ในประโยคนั้นๆอีกด้วย
Tense หมายถึง โครงสร้างของกริยาที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้น
ซึ่งมีทั้งหมด 12 รูปแบบ สรุปได้ดังนี้
1.Present
simple (s.+v.1) ใช้ในกิจวัตร
หรือสิ่งที่เราทำ ซ้ำๆ อยู่เสมอ เช่น He always forgets his key เขาลืมกุญแจตลอด และใช้กับสิ่งที่เป็นจริงเสมอไม่ว่าพูดเมื่อไรก็ตาม
เช่น The
sun rises in the east. พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
2. Present Continuous (s.+ is, am, are + V.ing) ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่เราพูด
เช่น I
am studying English right now.ตอนนี้ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่
(ในขณะที่เราพูด เราก็กำลังกระทำกริยานั้นอยู่ด้วย)
3. Present
Perfect (s. + have, has + V.3)
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต โดยส่งผลถึงปัจจุบัน เช่น I
have already finished my work. ฉันทำงานเสร็จแล้ว
(เป็นการตอกย้ำว่าทำเสร็จแล้ว ซึ่งผลยังอยู่)
4. Present Perfect Continuous (s. + have, has + been + V.ing) ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันและจะกระ
ทำอย่างต่อเนื่อง เช่น Tom has been living in Bangkok since 2008.ทอมอาศัยอยู่กรุงเทพตั้งแต่ปี
2008. (เขาอยู่มาหลายปีแล้ว และคาดว่าเขาน่าจะอยู่ต่ออีกในอนาคต )
5. Past Simple (s.+v.2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต
เช่น I
went to school yesterday. ฉันไปโรงเรียนเมื่อวานนี้
6. Past continuous (s. + was, were + V.ing) ใช้
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์2เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอยู่
(ใช้ Past
continuous) แล้วมีอีกเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นเข้ามาแทรก
(ใช้ Past
simple) เช่น The accident occurred while he was
driving. อุบัติเหตุเกิดขึ้นขณะที่เขากำลังขับรถอยู่
(เขาได้ขับรถอยู่ก่อน ก่อนที่จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแทรก)
7. Past
Perfect (S. + had+ V.3 )ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
และจบลงแล้ว ไม่มีถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เกิดและดำเนินอยู่แล้ว ใช้ Past
Perfect และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมา ใช้ Past
Simple เช่น I watched TV after I had
done my homework. ฉันดูทีวีหลังจากที่ฉันได้ทำการบ้านเสร็จ
8. past
perfect continuous (s + had been +
V.ing) ใช้กับเหตุการณ์ 2เหตุการณ์
โดยมีเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงก่อน ใช้ Past
Perfect Continuous แล้วมีอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่หลัง ใช้ Past
Simple เช่น My brother had been
singing for 2 hours before I arrived home. (น้องชายของฉันกำลังร้องเพลงมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ก่อนที่ฉันจะกลับถึงบ้าน)
9. Future
Simple (s+ will+ V. 1) ใช้บรรยายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น He
will build a house soon. เขาจะสร้างบ้านเร็วๆนี้
10. Future Continuous (s+ will be + V. ing) ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future Continuous และเหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้
Present
Simple Tense เช่น I will be studying when you come. ฉันคงกำลังเรียนอยู่เมื่อคุณมาถึง
11. Future
Perfect ( S. + will have+ V.3) ใช้กับเหตุการณ์
2
อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future
Perfect Tense และเหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Present
Simple เช่น I
will already have studied Chapter Four before I study Chapter Five. ฉันจะต้องเรียนบทที่4ให้เสร็จก่อนที่จะเรียนบทที่5
(มีการวางแผนหรือคาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน)
12. Future
prefect continuous (S. + will have been +
V.ing ) ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ โดยเน้นความต่อเนื่องของการกระทำใดการกระทำหนึ่งในอนาคต
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Future Perfect
Continuous Tense และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง ใช้ Present Simple เช่น He
shall have been cleaning his room for an hour when I visit him. เขาน่าจะกำลังทำความสะอาดห้องของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วในตอนที่ฉันไปหาเขา
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างแต่ละ tense
จะใช้ไม่เหมือนกัน
เราจะต้องทำความเข้าใจโครงสร้างและความหมายให้ดี เพื่อที่จะนำมาสื่อสารกับชาวต่างได้อย่างถูกต้อง
ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในยุคนี้อย่างมาก การเรียนภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติทั่วโลก
ภาษาอังกฤษจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะให้ประเทศของเรามีการพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
โดยจะใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพื่อมาใช้ในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น
ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อมกับการแสวงหาความรู้
โดยในปัจจุบันมีสื่อการเรียนรู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์ ทีวี วิทยุ เป็นต้น
เราสามารถเข้าไปศึกษา เพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้
ซึ่งเรื่อง tense ที่ได้กล่าวมานี้
เป็นไวยากรณ์พื้นฐาน จึงมีความสำคัญมากในการใช้ภาษา
เพราะถ้าเรารู้โครงสร้างและความความหมาย
เราจะสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้องซึ่ง tense
ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น
3
tense ใหญ่ๆ ได้แก่Present
tense (ปัจจุบัน) Past
tense (อดีตกาล) และ
Future
tense (อนาคตกาล) ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็นย่อยๆอีก
รวมทั้งหมดแล้วมี 12 tense
ซึ่งได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว
ในการเรียนเรื่อง tense นี้เราจะต้องรู้ 2
อย่าง ก็คือ ความหมายและโครงสร้าง ซึ่งสองตัวนี้มีความสำคัญมาก สรุปได้ว่า tense เป็นเรื่องของเวลา และอารมณ์ โดยที่ไม่ต้องอธิบายยืดยาว
อีกทั้งยังให้ความรู้สึกและเข้าใจถึงการกระทำได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น จากที่ได้กล่าวไว้ตอนแรกว่า
ประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องของ tense เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้
ผู้สอนและผู้เรียนความร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งผู้สอนจะต้องหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ
และหากลวิธีในการเรียนการสอนเพื่อจะให้ผู้เรียนเกิดความเพลิดเพลินในการเรียน
ไม่เบื่อหน่าย และตัวผู้เรียนเองก็ต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ทำความเข้าใจและฝึกฝนตนเองอยู่บ่อยๆ
ดังนั้นในการเรียนเรื่อง tense จะง่ายขึ้น ถ้าเราใส่ใจในการเรียนมากขึ้น
และทำความเข้าใจโครงสร้างของtense และเข้าใจความหมายในประโยค
จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับชาวต่างได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล้ว
และจะส่งผลให้ประเทศของของเราพัฒนาในด้านต่างๆได้ดีขึ้นอีกด้วย และเมื่อเราเข้าใจโครงสร้างไวยากรณ์แล้วก็จะส่งผลให้การใช้ทักษะทั้ง
4 ทักษะ คือ ทักษะพูด ทักษะฟัง ทักษะอ่าน และทักษะเขียนของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
ในการเรียนเรื่อง
tense
ในชั้นเรียนครั้งนี้ทำให้เราได้รู้วิธีการจำโครงสร้างของtense ทั้ง 12 tense ได้ง่ายขึ้น
และทำให้เราได้รู้และเข้าใจหลักการใช้ของแต่ละ tense มากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น