วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log (ในห้องเรียน) ครั้งที่ 3

Learning Log (ในห้องเรียน) ครั้งที่ 3

Tense
ในปัจจุบันนี้ ภาษาอังกฤษได้เข้ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยพัฒนาประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยจะนำความก้าวหน้าของความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ดังนั้นจะต้องการเตรียมความพร้อมของคนในประเทศเพื่อให้มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถติดต่อสื่อสาร แสวงหาความรู้และสร้างความสัมพันธ์กัน เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้โลกแคบลง เกิดการติดต่อสื่อสารอย่างไร้พรมแดน คนจึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขีด ความสามารถในการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ภาษาอังกฤษจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก เนื่องจากเป็นภาษาที่คนทุกชาติ ทุกภาษายอมรับให้เป็นภาษาสากล ที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลก ซึ่งในการเรียนรู้จากทักษะทั้ง4ทักษะ ได้แก่ ทักษะการพูด การอ่าน การฟัง การเขียนภาษาอังกฤษ ซึ่งทั้ง 4 ทักษะ เป็นทักษะทางภาษาที่มีความสำคัญและมีความหมายในการเรียนทุกๆระดับ นอกจากการเรียนรู้ทักษะทางภาษาแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญพื้นฐานของการเรียนภาษาอังกฤษ นั่นคือ tense เพราะ tense เป็นไวยากรณ์พื้นฐานของภาษาอังกฤษ  โดยไวยากรณ์เปรียบเหมือนกฎจราจรสัญลักษณ์ต่างๆจะช่วยบอกว่าสิ่งที่ผู้เรียนเรียนอยู่นั้นอยู่บนถนนที่ถูกเส้นทาง การที่ผู้เรียนเข้าใจถึงสัญลักษณ์และกฎต่าง ๆ จะทำให้ผู้เรียนสามารถเห็นความก้าวหน้าทางภาษาของตนเอง พร้อมกับเลี่ยงการฝึกที่ผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความสามารถทางภาษาของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อย ซึ่งการเรียนการสอนเรื่อง tense มีความสำคัญมากกับสังคมในยุคนี้ เพราะหากเราสามารถรู้และเข้าใจถึงโครงสร้างของ tense ต่างๆและรู้ความหมายในประโยคนั้นๆ ก็จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว แต่การเรียนการสอนเรื่อง tenseในประเทศไทยก็ยังมีปัญหาอยู่มาก หลายคนที่ได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาหลายปี แต่ไม่เข้าใจและไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันได้  ที่ยังไม่เข้าใจอาจเป็นเพราะยังสับสน เนื่องจากการบอกเวลาในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ภาษาไทยจะไม่มีการผันกริยา แต่จะมีคำและวลีมาเป็นตัวขยายเพื่อบ่งบอกเวลา เช่น ฉันกินข้าวแล้ว(เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นลงแล้วในอดีต) เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษจะมีการผันกริยา เพื่อบ่งบอกเวลา ว่าเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยในความแตกต่างนี้ทำให้คนไทยยังสับสนและไม่เข้าใจเรื่อง tense อย่างดีนัก ซึ่งปัญหานี้ส่งผลให้การเรียนรู้และทำให้เราสื่อสารกับชาวต่างชาติไม่ค่อยดีเท่าที่ควร จากความสำคัญนี้ เราทุกคนจึงต้องตระหนักในการเรียนรู้และทำเข้าใจในในเรื่อง  tense   และเราต้องรู้หลักการใช้ในแต่ละ tense เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง
ถ้าจัดลำดับความยากของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ “Tense” เป็นเป็นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ยากในอันดับต้นๆ เพราะในการเรียนเรื่อง tense นั่น เราต้องรู้โครงสร้างว่าประกอบด้วยอะไรบ้างและต้องรู้ความหมาย ในประโยคนั้นๆอีกด้วย  Tense หมายถึง โครงสร้างของกริยาที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งหมด 12 รูปแบบ สรุปได้ดังนี้
1.Present  simple (s.+v.1) ใช้ในกิจวัตร หรือสิ่งที่เราทำ ซ้ำๆ อยู่เสมอ เช่น He always forgets his key  เขาลืมกุญแจตลอด และใช้กับสิ่งที่เป็นจริงเสมอไม่ว่าพูดเมื่อไรก็ตาม เช่น The sun rises in the east. พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก  
2. Present Continuous (s.+ is, am, are + V.ing) ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่เราพูด เช่น I am studying English right now.ตอนนี้ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ (ในขณะที่เราพูด เราก็กำลังกระทำกริยานั้นอยู่ด้วย)
3.  Present Perfect (s. + have, has + V.3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต โดยส่งผลถึงปัจจุบัน เช่น I have already finished my work. ฉันทำงานเสร็จแล้ว (เป็นการตอกย้ำว่าทำเสร็จแล้ว ซึ่งผลยังอยู่)
 4. Present Perfect Continuous (s. + have, has + been + V.ing) ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันและจะกระ ทำอย่างต่อเนื่อง เช่น Tom has been living in Bangkok since 2008.ทอมอาศัยอยู่กรุงเทพตั้งแต่ปี 2008. (เขาอยู่มาหลายปีแล้ว และคาดว่าเขาน่าจะอยู่ต่ออีกในอนาคต )
5. Past Simple (s.+v.2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต เช่น I went to school yesterday. ฉันไปโรงเรียนเมื่อวานนี้
 6. Past continuous  (s.  +  was, were  +  V.ing) ใช้ เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์2เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอยู่ (ใช้ Past continuous) แล้วมีอีกเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นเข้ามาแทรก (ใช้ Past simple) เช่น The accident occurred while he was driving. อุบัติเหตุเกิดขึ้นขณะที่เขากำลังขับรถอยู่ (เขาได้ขับรถอยู่ก่อน ก่อนที่จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแทรก)
7. Past  Perfect  (S. + had+ V.3 )ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบลงแล้ว ไม่มีถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เกิดและดำเนินอยู่แล้ว ใช้ Past  Perfect และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมา ใช้ Past Simple เช่น I watched TV after I had done my homework. ฉันดูทีวีหลังจากที่ฉันได้ทำการบ้านเสร็จ
8. past  perfect  continuous  (s + had been  + V.ing)  ใช้กับเหตุการณ์ 2เหตุการณ์ โดยมีเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงก่อน ใช้ Past Perfect Continuous แล้วมีอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่หลัง ใช้ Past Simple เช่น My brother had been singing for 2 hours before I arrived home. (น้องชายของฉันกำลังร้องเพลงมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ก่อนที่ฉันจะกลับถึงบ้าน)
9. Future Simple (s+ will+ V. 1) ใช้บรรยายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น He will build a house soon. เขาจะสร้างบ้านเร็วๆนี้
 10. Future Continuous (s+ will be + V. ing) ใช้กับเหตุการณ์ อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future Continuous และเหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense เช่น I will be studying when you come. ฉันคงกำลังเรียนอยู่เมื่อคุณมาถึง  
11. Future Perfect  ( S. + will have+ V.3) ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future Perfect Tense และเหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Present Simple  เช่น I will already have studied Chapter Four before I study Chapter Five. ฉันจะต้องเรียนบทที่4ให้เสร็จก่อนที่จะเรียนบทที่5 (มีการวางแผนหรือคาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน)
12. Future  prefect  continuous  (S. + will have been + V.ing ) ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ โดยเน้นความต่อเนื่องของการกระทำใดการกระทำหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Future Perfect Continuous Tense และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง ใช้ Present Simple  เช่น He shall have been cleaning his room for an hour when I visit him. เขาน่าจะกำลังทำความสะอาดห้องของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วในตอนที่ฉันไปหาเขา จะเห็นได้ว่าโครงสร้างแต่ละ tense จะใช้ไม่เหมือนกัน เราจะต้องทำความเข้าใจโครงสร้างและความหมายให้ดี เพื่อที่จะนำมาสื่อสารกับชาวต่างได้อย่างถูกต้อง
ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในยุคนี้อย่างมาก  การเรียนภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญ  เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติทั่วโลก ภาษาอังกฤษจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะให้ประเทศของเรามีการพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยจะใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพื่อมาใช้ในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อมกับการแสวงหาความรู้ โดยในปัจจุบันมีสื่อการเรียนรู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์ ทีวี วิทยุ เป็นต้น เราสามารถเข้าไปศึกษา เพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ ซึ่งเรื่อง tense ที่ได้กล่าวมานี้ เป็นไวยากรณ์พื้นฐาน จึงมีความสำคัญมากในการใช้ภาษา เพราะถ้าเรารู้โครงสร้างและความความหมาย เราจะสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้องซึ่ง tense ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆ ได้แก่Present   tense (ปัจจุบัน) Past   tense (อดีตกาล) และ Future   tense (อนาคตกาล)  ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็นย่อยๆอีก รวมทั้งหมดแล้วมี 12 tense  ซึ่งได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว ในการเรียนเรื่อง tense นี้เราจะต้องรู้ 2 อย่าง ก็คือ ความหมายและโครงสร้าง ซึ่งสองตัวนี้มีความสำคัญมาก สรุปได้ว่า tense เป็นเรื่องของเวลา และอารมณ์ โดยที่ไม่ต้องอธิบายยืดยาว อีกทั้งยังให้ความรู้สึกและเข้าใจถึงการกระทำได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น จากที่ได้กล่าวไว้ตอนแรกว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องของ tense เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ ผู้สอนและผู้เรียนความร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้สอนจะต้องหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ และหากลวิธีในการเรียนการสอนเพื่อจะให้ผู้เรียนเกิดความเพลิดเพลินในการเรียน ไม่เบื่อหน่าย และตัวผู้เรียนเองก็ต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ทำความเข้าใจและฝึกฝนตนเองอยู่บ่อยๆ ดังนั้นในการเรียนเรื่อง tense จะง่ายขึ้น ถ้าเราใส่ใจในการเรียนมากขึ้น และทำความเข้าใจโครงสร้างของtense และเข้าใจความหมายในประโยค  จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับชาวต่างได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล้ว และจะส่งผลให้ประเทศของของเราพัฒนาในด้านต่างๆได้ดีขึ้นอีกด้วย และเมื่อเราเข้าใจโครงสร้างไวยากรณ์แล้วก็จะส่งผลให้การใช้ทักษะทั้ง 4 ทักษะ คือ ทักษะพูด ทักษะฟัง ทักษะอ่าน และทักษะเขียนของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

                ในการเรียนเรื่อง tense ในชั้นเรียนครั้งนี้ทำให้เราได้รู้วิธีการจำโครงสร้างของtense ทั้ง 12  tense ได้ง่ายขึ้น และทำให้เราได้รู้และเข้าใจหลักการใช้ของแต่ละ tense มากขึ้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น