วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล
         โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา โครงสร้างจะเป็นตัวบอกเราว่า เราจะนำคำศัพท์ที่เรารู้มาประกอบกันอย่างไรจึงจะเป็นที่เข้าใจของผู้ที่เราสื่อสารด้วย ในบทความนี้ ผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นความแตกต่างทางโครงสร้างภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่มักก่อให้เกิดปัญหาแก่นักแปล ดังนี้

1. ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
                ชนิดของคำ ( parts of speech ) เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสาร
                ประเภททางไวยากรณ์ ( grammatical category ) หมายถึง ลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งมักจะสัมพันธ์กับชนิดของคำ ประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญสำหรับการเปรียบเทียบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีดังนี้
1.1       คำนาม  เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้ในภาษาอังกฤษแต่เป็นลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย ได้แก่
                1.1.1 บุรุษ ( person เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าคำนามหรือสรรพนามที่นำมาใช้ในประโยคหมายถึงผู้พูด ( บุรุษที่ 1 ) ผู้ที่ถูกพูดด้วย ( บุรุษที่ 2 ) หรือผู้ที่ถูกพูดถึง ( บุรุษที่ 3 ) แต่ภาษาไทยไม่มีการแสดงความต่าง    
1.1.2 พจน์ ( number )  เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำนวน ภาษาอังกฤษจะบ่งชี้พจน์โดยใช้ตัวกำหนดที่ต่างกัน เช่น a/an นำหน้าคำนามเอกพจน์เท่านั้น แต่ภาษาไทยไม่มีการแยกสรรพสิ่งตามจำนวน
                1.1.3 การก ( case ) เป็นประเภททางไวยากรณ์ของคำนามเพื่อบ่งชี้ว่าคำนามสัมพันธ์กับคำอื่นในประโยคอย่างไร ในภาษาอังกฤษ การกเจ้าของในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเติม 's ที่หลังคำนาม แต่ในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยคำเพื่อการแสดงการก แต่ใช้การเรียงคำ
                1.1.4 นามนับได้กับนามนับไม่ได้ ( countable and uncountable nouns )   คำนามในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยในเรื่องการแบ่งเป็น นามนับได้และนามนับไม่ได้ ความแตกต่างคือจะแสดงโดยการใช้ตัวกำหนด a/an กับนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ และเติม –s ที่นามนับไม่ได้ ส่วนนามนับไม่ได้ต้องไม่ใช้ a/an และไม่ต้องเติม – s
                1.1.5 ความชี้เฉพาะ ( definiteness )   ผู้พูดภาษาอังกฤษจะต้องเรียนรู้การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้ เครื่องหมายที่บ่งชี้ความชี้เฉพาะคือตัวกำหนด ได้แก่ a/an ซึ่งบ่งความไม่ชี้เฉพาะ และ the ซึ่งบ่งความชี้เฉพาะ

1.2 คำกริยา  เป็นหัวใจของประโยค การใช้จะซับซ้อนมาก เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท ดังนี้
                1.2.1 กาล ( tense )  ในภาษาอังกฤษต้องแสดง กาลว่าเป็นอดีต หรือไม่ใช้อดีตผู้พูดไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากการบ่งชี้กาล
                1.2.2 การณ์ลักษณะ ( aspect )  ในภาษาอังกฤษ ทุกประโยคที่เขียนหรือพูดจะต้องแสดงให้ชัดว่าเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต และเหตุการณ์ใดเกิดก่อน-หลัง แต่ในภาษาไทย  ผู้อ่านจะสามารถตีความได้เองจากปริบท
                1.2.3 มาลา ( mood ใช้กับคำกริยา ซึ่งทำหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์อย่างไร มาลาในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยา  ในภาษาไทย มาลาแสดงโดยกริยาช่วยหรือวิเศษณ์เท่านั้น
                1.2.4 วาจก ( voice )  เป็นตัวบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยคำกริยา ว่าประธานเป็นผู้กระทำ( กรรคุวาจก )หรือถูกกระทำ ( กรรมวาจก ) ในภาษาอังกฤษ ประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก ในภาษาไทย คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเองเพื่อแสดงกรรตุวาจกหรือกรรมวาจก
1.2.5 กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ ( finite vs. non-finite )  คำกริยาในภาษาอังกฤษ ในหนึ่งประโยคเดี่ยวจะมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งมีรูปแบบที่เห็นชัดจากการที่ต้องลงเครื่องหมายเพื่อบ่งชี้ประเภททางไวยากรณ์ต่างๆ ในภาษาไทย กริยาทุกตัวในประโยคไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน หรือเครื่องหมายที่จะระบุได้ทันทีว่าเป็นกริยาแท้หรือไม่แท้

1.3 ชนิดของคำปะเภทอื่นๆ
                คำที่มีปัญหาในตัวคำศัพท์ ได้แก่ คำบุพบท ในภาษาอังกฤษสามารถห้อยท้ายวลีหรือประโยคได้ แต่ในภาษาไทยไม่มีโครงสร้าง และคำคุณศัพท์ ในภาษาอังกฤษจะต้องใช้กับ verb to be เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค ในภาษาไทยไม่มีโครงสร้าง เพราะจะใช้กริยาทั้งหมด

2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
                หน่วยสร้าง ( construction ) หมายถึง หน่วยภาษาที่มีโครงสร้าง เมื่อเปรียบเทียบหน่วยโครงสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษพบว่ามีหน่วยสร้างที่แตกต่างกัน ดังนี้
                2.1 หน่วยสร้างนามวลี : ตัวกำหนด ( Determiner ) + นาม ( อังกฤษ ) & นาม ( ไทย )
                นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ ถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์ ( ยกเว้นนามที่เป็นชื่อเฉพาะและสรรพนาม )  ส่วนในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนด มีแต่คำบ่งชี้ เช่น นี้ นั้น โน้น นู้น ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้ไกลและเฉพาะเจาะจง
                2.2 หน่วยสร้างนามวลี : ส่วนขยาย + ส่วนหลัก (อังกฤษ) vs. ส่วนหลัก + ส่วนขยาย (ไทย)
                ในภาษาอังกฤษจะวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม คือถ้าส่วนขยายไม่ยาวเราเพียงแค่ย้ายที่ส่วนขยายจากหน้าไปหลังก็ใช้ได้
                2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก ( passive constructions )
                ในภาษาอังกฤษจะมีรูปแบบเด่นชัด คือ ประธาน/ผู้รับการกระทำ + กริยา / verb to be + participle + ( by + นามวลี/ผู้กระทำ) แต่ในภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบดังกล่าวไปแล้ว
                2.4 หน่วยสร้างประโยคเน้น subject ( อังกฤษ ) กับประโยคเน้น topic ( ไทย )
                ภาษาไทยเป็นภาษาเน้น topic ตรงข้ามกับภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาเน้น subject
                2.5 หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย ( serial verb construction )
                ไม่มีในภาษาอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกัน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น