Learning Log (ในห้องเรียน) ครั้งที่ 4
คุณธรรม
ในปัจจุบันการศึกษาไทยมีแนวโน้มต่ำลงเพราะนักเรียนขาดคุณธรรม
เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ลอกการบ้านกัน ลอกข้อสอบกัน และมีการทะเลาะวิวาทกัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้การศึกษาไทยพัฒนาไปได้ช้า การศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาเยาวชนทั้งทางด้านปัญญา
บุคลิกภาพและ ช่วยให้เยาวชนมีความสำเร็จในชีวิต การจัดการศึกษาจึงต้องพัฒนาเด็กไทยให้เป็นคนที่
สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ดังนั้นจึงต้องพัฒนาให้เด็กมีคุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะ และความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เพื่อจะส่งผลต่อการพัฒนา ประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ดังนั้นในการศึกษาจึงเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ที่ควบคู่ไปกับการมีคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรให้ปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการแก่นักเรียน อันได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ ซึ่งขยายความได้ว่า 1. ขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องและอดทนไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค 2. ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ไม่ฟุ่มเฟือย 3. ซื่อสัตย์ คือ ประพฤติตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มีความจริงใจ 4. มีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน และข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม 5. สุภาพ คือ เรียบร้อย มีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ 6. สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมอง ทั้งกาย ใจ 7. สามัคคี คือ ความพร้อมเพรียง ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามที่ต้องการ 8. มีน้ำใจ คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง และยังมีคุณธรรมอื่นๆที่นักเรียนควรจะมี ดังต่อไปนี้
ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ดังนั้นจึงต้องพัฒนาให้เด็กมีคุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะ และความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เพื่อจะส่งผลต่อการพัฒนา ประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ดังนั้นในการศึกษาจึงเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ที่ควบคู่ไปกับการมีคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรให้ปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการแก่นักเรียน อันได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ ซึ่งขยายความได้ว่า 1. ขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องและอดทนไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค 2. ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ไม่ฟุ่มเฟือย 3. ซื่อสัตย์ คือ ประพฤติตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มีความจริงใจ 4. มีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน และข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม 5. สุภาพ คือ เรียบร้อย มีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ 6. สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมอง ทั้งกาย ใจ 7. สามัคคี คือ ความพร้อมเพรียง ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามที่ต้องการ 8. มีน้ำใจ คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง และยังมีคุณธรรมอื่นๆที่นักเรียนควรจะมี ดังต่อไปนี้
คุณธรรมอันดับแรกที่เราควรมีคือ
ความซื่อสัตย์สุจริต การซื่อสัตย์เป็นการแยกแยะสิ่งที่ถูกผิด ปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่นโดยชอบ
ไม่โกง การดำเนินชีวิตในสังคมนั้น จะเห็นได้ว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะซื่อสัตย์ต่อตนเองหรือผู้อื่น การเป็นคนจะทำให้เราเป็นคนที่น่าคบหาสมาคม
เป็นที่ยอมรับนับถือ ถ้าขาดความซื่อสัตย์ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่น่าคบหาสมาคม
เป็นที่ระแวงของเพื่อน ดังนั้นเราจึงต้องตระหนักถึงความซื่อสัตย์ ดังคำที่เขาว่ากันว่า
โตไปไม่โกง จะเห็นได้ว่าประเทศของเราจะมุ่งเน้นที่เรื่องนี้อย่างมาก
เพราะมันจะส่งผลต่อประเทศของเรา เราจึงต้องฝึกตนเองให้เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ให้ติดเป็นนิสัย
เช่น การไม่ลอกการบ้านคนอื่น ไม่ลอกข้อสอบคนอื่น เป็นต้น
คุณธรรมอันดับต่อมาที่เราควรมีคือ การตรงต่อเวลา การที่เราเป็นคนตรงต่อเวลา จะช่วยให้เราเป็นคนที่ขยัน
เอาการเอางาน มีความกระตือรือร้น รักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ ช่วยให้เราสามารถจัดการกับงานหรือสิ่งที่เข้ามาได้อย่างเป็นระเบียบ
การที่เราเป็นคนตรงต่อเวลาจะทำให้เราประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้าในชีวิต
รวมถึงเป็นคนน่าเชื่อถือ และผู้อื่นให้ความไว้วางใจแก่เรา
การตรงต่อเวลาเป็นการเพิ่มเวลาและเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเรามีเวลาพอที่จะทำกิจกรรมต่างๆ
การพัฒนาตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลานั้นไม่ใช่เรื่องยาก
เราสามารถทำได้โดยการที่เรารู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสมเป็นการจัดระเบียบให้กับชีวิตสำหรับในการเรียน
กล่าวคือ การพยายามทำงานหรือส่งงานให้เสร็จก่อนเวลาเพื่อมีเวลาตรวจงานและส่งงานให้ตรงตามกำหนด
รวมถึงหากนัดกับใคร เราก็ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงที่นัดพบก่อนเวลาสักเล็กน้อย
เพื่อที่จะได้ ไม่ต้องเร่งรีบ การตรงต่อเวลาในการเรียนก็เหมือนกัน
เราต้องไปให้ถึงห้องก่อนเวลาเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมที่จะเรียน คุณธรรมที่สามคือ
การให้เกียรติครูผู้สอน การให้เกียรติครูก็คือการเคารพครูนั่นเอง ครูเป็นบุคคลผู้มีพระคุณต่อศิษย์
เป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้ศิษย์เป็นคนดี มีคุณธรรมที่ดีงาม ดังนั้นเราจึงต้องเคารพท่านเพราะท่านเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเรา
ซึ่งถ้าเรามีคุณธรรมเหล่านี้จะทำให้ประเทศของเราพัฒนาและจะเจริญยิ่งๆขึ้นในทุกๆด้านทั้งในด้านการศึกษา
สังคม เศรษฐกิจ เป็นต้น
การเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพนั้นเราจะต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการมีคุณธรรม
การศึกษามีบทบาทสำคัญมากที่จะช่วยพัฒนาเยาวชนมีทั้งความรู้และมีคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีคุณธรรม
8 ประการขึ้น เพื่อให้เยาชนมีคุณธรรมที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
ถ้าเรามีคุณธรรมดังที่กล่าวไว้ จะทำให้เราพัฒนาตนเองได้มาก
จากความสำคัญนี้เราจึงต้องตระหนักในเรื่องคุณธรรมให้มากขึ้น
โดยเริ่มจากตัวเราเองก่อน
ซึ่งคุณธรรมที่ได้กล่าวไปนั้นเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญมากในการเรียน เพราะเป็นปัจจัยหลักในการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จในการเรียน
ถ้าเรามีคุณธรรมนี้จะส่งผลต่อทั้งตัวเราเอง และประเทศของเรา ผลของตัวเราเองก็คือจะทำให้เราเป็นคนมีความรับผิดชอบมากขึ้น
เป็นคนมีการวางแผนก่อนเสมอ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีระเบียบวินัยในตัวเองมากขึ้น
ใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่าย และมีเวลาที่จะทำกิจกรรมอื่นๆอีกด้วย ส่งผลต่อประเทศคือ
ทำให้ประเทศของเรามีความก้าวหน้าทางการศึกษามากขึ้น รวมทั้งด้านอื่นอีกด้วย ซึ่งการเรียนในห้องเรียนครั้งนี้ดิฉันได้เรียนรู้ถึงคุณธรรมที่เราควรมี
ซึ่งและควรฝึกให้เป็นนิสัย คุณธรรมเหล่านี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการเรียนมากขึ้น
จะทำให้เราเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในการทำงาน การวางแผนการทำงานมากขึ้น
ทำให้เรารู้คุณค่าของเวลาที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราเอง
และทำให้เรามีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
Adjective Clause
Adjective Clause
ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือสรรพนามที่มาข้างหน้า
โดยอาจใช้ชีเฉพาะคำนามที่มาข้างหน้าหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนามที่มาข้างหน้าตัวอย่าง
เช่น
- The snake which
is lying the horse stable has killed the cow. จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
which is lying the horse stable เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the snake ในประโยคหลัก The
snake has killed the cow. โดย Adjective Clause นี้จะชี้เฉพาะว่างูตัวไหนที่ทำให้วัวตาย
- Mrs. John, who
lives next door, has just donated her blood to Red Cross. จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
who live next door เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม Mrs. John ในประโยคหลัก Mrs.
John has just donated her blood to Red Cross. โดย Adjective
Clause นี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mrs. John
ว่าอาศัยอยู่บ้านหลังถัดไป
คำนำหน้า Adjective Clause
Adjective Clause จะมี Relative Pronoun หรือ Relative Adverb
มานำหน้า ดังนั้น Adjective Clause มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
“Relative Clause”
- Relative Pronoun
who, whom, whose ใช้แทนคน
which ใช้แทนสัตว์หรือสิ่งของ
that
ใช้แทนได้ทั้งคน, สัตว์ และสิ่งของ
- Relative Adverb
where
ใช้แทนสถานที่
when ใช้แทนเวลา
why ใช้แทนเหตุผล
หลักการใช้คำนำหน้า Adjective Clause
1.) Relative Pronoun
1.1
who ใช้แทนคำนามหรือสรรพนาม
ที่เป็นบุคคลกับอนุประโยคที่ใช้ขยายหรือแสดงลักษณะของนามหรือสรรพนามตัวนั้น เช่น
- The manager will employ the application who is bilingual. (ผู้จัดการจะจ้างผู้สมัครคนที่พูดสองภาษาได้) จะเห็นได้ว่า who is
bilingual เป็น Adjective Clause
ที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม the application ในประโยคหลัก The
manager will employ the application.โดย Adjective Clause นี้จะชี้เฉพาะว่าผู้สมัครแบบไหนที่เขาจะจะจ้าง
- She has a son who is a doctor. (เธอมีลูกชายหนึ่งคนซึ่งเป็นหมอ)
จะเห็นได้ว่า who is a doctor เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม a son ในประโยคหลัก She
has a son. โดย Adjective Clause นี้จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
a son ว่าเขาเป็นหมอ
- I’m looking for a secretary who can use a computer well. (ฉันกำลังมองหาเสมียนที่ใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างเชี่ยวชาญ) จะเห็นได้ว่า who
can use a computer well เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม a secretary ในประโยคหลัก I’m
looking for a secretary. โดย Adjective Clause จะชี้เฉพาะว่าเสมียนแบบไหนที่กำลังมองหา
1.2
whom ใช้เชื่อมคำนามหรือสรรพนามที่เป็นบุคคล
ซึ่งเป็นกรรมของอนุประโยคที่มันขยาย (เป็นกรมของกริยาในอนุประโยคที่มันขยาย) เช่น
- The woman whom I talked to yesterday is our new boss. (ผู้หญิงคนที่ฉันคุยด้วยเมื่อวานคือเจ้านายใหม่ของพวกเรา) จะเห็นได้ว่า whom
I talked to yesterday เป็น Adjective Clause
ทำหน้าที่ขยายคำนาม the woman ในประโยคหลัก The woman
is our new boss.
- She is a good girl whom he wants to marry. (เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่เขาอยากแต่งงานด้วย)
จะเห็นได้ว่า whom he wants to marry เป็น Adjective
Clause ซึ่งทำหน้าที่ขยายคำนาม girl ในประโยคหลัก
She is a good girl.
1.3
whose ใช้แทนคำนามหรือสรรพนามที่เป็นบุคคลซึ่งวางอยู่ข้างหน้ามัน
เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแทนคำนามหรือสรรพนามที่มันขยาย เช่น
- The man whose son died last year won the first prize in the
lottery. (ผู้ชายคนที่ลูกชายของเขาตายเมื่อปีที่แล้วถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง)
จะเห็นได้ว่า whose son died last year เป็น Adjective
Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the man ในประโยคหลัก
The man won the first prize in the lottery.
- The boy whose father is in prison is very intelligent. (เด็กผู้ชายที่พ่อของเขาติดคุกเรียนเก่งมาก) จะเห็นได้ว่า whose
father is in prison เป็น Adjective Clause
ทำหน้าที่ขยายคำนาม the boy ในประโยคหลัก The boy is
very intelligent.
- Biw know a flimstar whose father is her friend. (บิวรู้จักดาราคนหนึ่งซึ่งพ่อของเขาเป็นเพื่อนของเธอ) จะเห็นได้ว่า whose
father is her friend เป็น Adjective Clause
ทำหน้าที่ขยายคำนาม a flimstar ในประโยคหลัก Biw know
a flimstar.
1.4
which ใช้แทนคำนามหรือสรรพนามที่เป็นสิ่งของและสัตว์
เช่น
- This
is the house, which belong to my sister. (นี่คือบ้านของพี่สาวฉัน)
จะเห็นได้ว่า which belong to my sister เป็น Adjective
Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the house ในประโยคหลัก
This is the house.
- I
have lost the book which you lent me. (ฉันทำหนังสือที่คุณให้ยืมหาย)
จะเห็นได้ว่า which you lent me เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the book ในประโยคหลัก I
have lost the book.
- The shirt (which) I
bought yesterday is too small. (เสื้อตัวที่ฉันซื้อเมื่อวานตัวเล็กเกินไป)
จะเห็นได้ว่า (which) I bought yesterday เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม
The shirt ในประโยคหลัก The shirt is too small.
1.5
that ใช้กับคำนามที่เป็นบุคคล
สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ (สามารถใช้แทน who, whom, where,
which) เช่น
- The robbers that robbed the bank last week are arrested. (คนร้ายที่ปล้นธนาคารเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกจับแล้ว) จะเห็นได้ว่า that
robbed the bank last week เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the robbers ในประโยคหลัก The
robbers are arrested.
- It is the place that I want to visit most. (มันเป็นสถานที่ที่ฉันอยากไปเที่ยวมากที่สุด)
จะเห็นได้ว่า that I want to visit most เป็น Adjective
Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the place ในประโยคหลัก
It is the place.
- This is the house that I live. (นี่คือบ้านที่ฉันอาศัยอยู่)
จะเห็นได้ว่า that I live เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the house ในประโยคหลัก This
is the house.
2.) Relative
Adverbs
2.1
where ใช้แทนคำนามที่บอกสถานที่ ทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ใน Adjective
Clause (มาจาก proposition + which) เช่น
- The high building (where) he
works had a good security system. (ตึกสูงๆที่เขาทำงานอยู่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี)
จะเห็นได้ว่า (where) he works เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม
the building ในประโยคหลัก The high building had a
good security system.
- The
factory (where) he works is
far from the city. (โรงงานที่เขาทำงานอยู่ไกลจากตัวเมือง)
จะเห็นได้ว่า (where) he works เป็น Adjective
Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the factory ในประโยคหลัก
The factory is far from the city.
- The building (where) She
lives in is very old. (ตึกที่เธออาศัยอยู่เก่ามากแล้ว)
จะเห็นได้ว่า (where) She lives in เป็น
Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม the building ในประโยคหลัก The building is very old.
2.2
when ใช้แทนคำนามที่บอกเวลา เพื่อขยายที่อยู่ข้างหน้าของมัน
เช่น
- Sunday is a day when they don’t go to work. (วันอาทิตย์เป็นวันที่พวกเขาไม่ไปทำงาน)
จะเห็นได้ว่า when they don’t go to work เป็น Adjective
Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม a day ในประโยคหลัก
Sunday is a day.
2.3
why ใช้แทนคำนามที่เป็นสาเหตุ เหตุผล คำอธิบาย ซึ่งวางอยู่ข้างหน้าของมัน
เช่น
- I would like to know the reason why you are always late. (ฉันอยากทราบเหตุผลว่าทำไมคุณถึงมาสาย) จะเห็นได้ว่า why you are always
late เป็น Adjective Clause ทำหน้าที่ขยายคำนาม
the reason ในประโยคหลัก I would like to know the
reason.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น